Sanshô dayû (1954)
มีหนังเรื่องไหนที่กล้าเอาชื่อตัวร้ายมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง
แต่ที่แปลกกว่าคือตัวร้ายของเรื่องโผล่มาน้อยมากจนแทบนับฉากได้
แต่มันก็สอนว่าบางทีโชคชะตาถูกลิขิตด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น
Akasen chitai (1956)
ดูรอบแรก ต้องปรบมือให้ คิดในใจผกก.เค้าทำไงยังไง?
ดู รอบสอง ยิ่งทึ่งขึ้นไปอีก ตัวละครเกือบ10ตัว แต่สามารถคุมอยู่และนำเสนอในเวลาแค่85นาที แถมทุกตัวมีความลึก มีที่มาที่ไป และโดดเด่นเท่ากันหมด
ชอบฉากจบ "น้องใหม่หัดเรียกแขก"
ดูแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือสงสารดี?
An Autumn Afternoon (1962)
ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าแก่ขึ้นและเข้าใจชีวิตขึ้นอีก..
ทันทีที่รู้ว่าตัวเองดูหนังเรื่องนี้สนุก
และดูแล้วดูอีกยังกับคนญี่ปุ่นกินเหล้าสาเก
Bonnie and Clyde (1967) & Badlands (1973)
ข้าพเจ้า สงสัยตัวเองตั้งแต่เด็กว่าเวลาดูหนังทำไมถึงได้จิตใจเอนเอียงโอนเอนเข้าข้าง ไปยังฝ่ายตัวร้าย จนบางทีคิดว่าข้าพเจ้าอาจจะมีจิตที่ผิดปกติ แต่หลังจากดูหนังสองเรื่องนี้จบ
ข้าพเจ้าดีใจที่ไม่ได้เป็นคนเดียวที่คิดแบบนี้บนโลก
The Graduate (1967)
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าหนังคลาสสิคบางเรื่อง
สมควรจะเป็นหมายเหตุเฉพาะกาลเวลาเฉพาะช่วงเวลานั้น
Red Sorghum (1987)
หนังเรื่องแรกยังอัดแน่นและแดงได้ขนาดนี้
ไม่แปลกใจว่าตัวผู้กำกับจะทำพิธีเปิด-ปิดโอลิมปิค
ได้ออกมาชนิดที่ว่าทึ่ง..อึ้งจนเอาไปคุยได้ชั่วลูกชั่วหลาน
แต่แปลกใจนิดๆว่า..ทำไมจากคนเป็นศัตรูกันชนิดทั้งด่า..ทั้งจิก..ทั้งกัดชนิดไม่ปล่อยถึงกลายมาเป็นพวก"สีแดง"เดียวกันได้
Benny's Video (1992)
คง จะเป็นผกก.ที่ข้าพเจ้าคงจะทำใจให้ชอบได้ยาก แม้ผลงานจะดีมีคนชมขนาดไหน ข้าพเจ้าไม่ชอบหนังที่ผกก.คิดว่าตัวเองเป็นนักวิทยาศาสตร์และเห็นคนดูเป็น หนูทดลอง การดูหนังของHaneke เหมือนกับให้ผู้ชมเป็นหนูทดลองยาหรือทดลองโปรเจกต์อะไรสักอย่างซึ่งเขา สามารถตัดแขน ตัดขา หรือฉีดสารอะไรใส่ในร่างกายก็ได้ แม้แต่ยาพิษ
Serial Mom (1994)
แม้แต่น้องสาวของข้าพเจ้ายังดูด้วยความชอบอย่างตื่นเต้น
นั่นแสดงว่า....มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน
Beautiful Girls (1996) & Stealing Beauty (1996)
น่า แปลกที่หนังสร้างมาปีเดียวกันและเปรียบเสมือนส่วนเติมเต็มของกันและกัน เรื่องแรก..ทำให้เราเข้าใจว่าบรรดาบุคคลผู้โชคดีที่ได้ชื่นชมความสวยงามนั้น มีหัวอกหัวใจเป็นอย่างไร
ส่วนเรื่องหลัง..กว่าที่จะขโมยความสวยงามมาเชยชม นั้นแสนลำบาก
Insomnia (2002)
ดูเรื่องนี้หลังจากที่ดูหนังของอัล ปาชิโนเรื่องRighteous Kill (2008)
ทำให้รู้ว่าบางอย่างมันได้ผลเพียงแค่ครั้งเดียว
Scoop (2006)
ชื่นชมWoody Allenมากที่เค้ายิ้มสู้ยอมรับความตาย
มากกว่า Bergman ซึ่งถือว่าเป็นอาจารย์ของเค้า
Paranoid Park (2007)
ผู้กำกับที่ดีต้องรู้ความสามารถของตากล้องคู่ใจ
เปรียบกับจอมยุทธที่ต้องมีกระบี่ดีไว้เป็นเพื่อนคู่กาย
เพราะว่าเค้าฝากชีวิตไว้กับมัน
..นั่นเป็นเหตุว่าทำไม Gus Van Sant ถึงเลือก Chris Doyle
Slumdog Millionaire (2008)
ไม่แปลกใจว่าผกก.จะทำหนังเรื่องนี้ง่ายเหมือนปอกกล้วย
หาก มองยอนไปในหนังที่เค้ากำกับจะเกี่ยวข้องหรือนำเสนอในรูปแบบเกมส์แทบจะทั้ง สิ้นไม่ว่าจะ Transpotting และเห็นรูปแบบเกมส์อย่างชัดเจนใน The Beach
สรุปปี2008
ตัว ข้าพเจ้าเองแปลกใจมากที่ไม่มีหนังของผู้กำกับคนโปรด Ingmar Bergmanอยู่ในความทรงจำของปี นั่นอาจเป็นเพราะการดูหนังของเค้าเหมือนการไปให้หมอฉีดยาให้หมอรักษา
ถ้าเราไม่สบายเป็นไข้ทางกายหรือทางใจ เราก็ต้องไปหาหมอรักษาให้หมอฉีดยาหรือฉีดวัคซีนป้องกันโรค
..แต่ถ้าเราปกติดีทั้งกายและใจ จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องไปเจ็บตัวให้คุณหมอ bergmanฉีดยาเอาเข็มแหลมๆแทงเข้าไปในร่างกาย
หรือแจกยาที่มันทั้งขมจนแทบจะกลืนไม่ได้..
ขอ เกาะกระแสผู้กำกับแห่งปี Danny Boyle ด้วยประโยคเด็ดจากหนังเรื่องหนึ่งที่เขากำกับและถ่ายทำในบ้านเรา เป็นประโยคที่ข้าพเจ้าจดจำและสามารถนำมาใช้ได้ในทุกๆปีไม่ว่าปีไหนใน ชีวิต...
...And me, I still believe in paradise.
But now at least I know it's not some place you can look for,
'cause it's not where you go. It's how you feel for a moment in your life
when you're a part of something, and if you find that moment...
it lasts forever...

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น